การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลายหลายรูปแบบ ที่มีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนระหว่างความเป็นเชิงเส้น ประสิทธิภาพและพลังงาน มีการจัดประเภทเป็นคลาสระดับต่างๆ เช่น A, B, AB,

การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีคุณสมบัติต่างกันตามการกำหนดค่า และการทำงานของขั้นตอนเอาท์พุต คุณสมบัติสำคัญของตัวขยายสัญญาณที่ดีจะต้องมีความเป็นเชิงเส้น ตัวขยายสัญญาณ ประสิทธิภาพ และกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริง  ซึ่งตัวขยายสัญญาณในโลกความเป็นจริงจะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างคุณสมบัติที่กล่าวเหล่านี้

ตัวขยายสัญญาณขนาดใหญ่ หรือตัวขยายสัญญาณมักใช้ภาคขยายกำลังของระบบขยายเสียงขับโหลดลำโพง โดยลำโพงปกติมีค่าความต้านทานระหว่าง 4Ω ถึง 8Ω ด้วยวิธีการนี้ ตัวขยายสัญญาณต้องส่งกระแสระดับสูงมาขับพลังงานของลำโพงที่มีค่าความต้านทานต่ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวขยายสัญญาณถูกจัดประเภทตามการกำหนดค่าและขั้นตอนการทำงานของวงจร วงจรของตัวขยายสัญญาณมีหน้าที่แยกแยะคุณสมบัติทางไฟฟ้าของตัวขยายสัญญาณประเภทต่าง ๆ  ต่อจากนี้จะเป็นรายละเอียดของระดับคลาสตัวขยายสัญญาณประเภทต่างๆ 

ตัวขยายสัญญาณคลาส  A

ตัวขยายสัญญาณคลาส A มักถูกใช้งานด้านระบบเสียงทั่วไป ใช้ทรานซิสเตอร์สวิตซ์เอาท์พุตเดี่ยว (เช่น ไบโพลาร์, FET, IGBT) ในการออกแบบ ทรานซิสเตอร์นี้ยังมีการปรับแต่งรอบจุด Q ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตัด หรือพื้นที่ต้านจนทำให้สูญเสียการทำงาน ทำให้สามารถนำกระแสได้ตลอด 360 องศาของวงจรอินพุต อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของตัวขยายสัญญาณคลาส A คือ ตัวเอาท์พุตของทรานซิสเตอร์จะอยู่ในสถานะ “เปิด”ตลอด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ ประมาณ 30%

ตัวขยายสัญญาณคลาส B

ตัวขยายสัญญาณคลาส B ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพ และการให้ความร้อนที่พบในตัวขยายสัญญาณคลาส A ตัวขยายสัญญาณเหล่านี้ใช้ทรานซิสเตอร์ประเภทคอมพลิเมนตารี 

หนึ่งในแต่ละครึ่งของรูปคลื่นอยู่ในวงจรรูปแบบ "Push-Pull" เมื่อทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งทำงาน ทรานซิสเตอร์อีกตัวจะถูกสวิตซ์ให้อยู่ในสถานะ "ปิด" การออกแบบนี้เพิ่มประสิทธิภาพประมาณ 50% แต่อาจชักนำให้เกิดการบิดเบือนใกล้จุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB  จะรวมคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณคลาส A และตัวขยายสัญญาณคลาส B เข้าด้วยกัน สามารถกำจัดปัญหาเรื่องความบิดเบือนที่เกิดขึ้นในตัวขยายสัญญาณคลาส B โดยการอนุญาตให้ทรานซิสเตอร์ทั้งสองอันดำเนินการพร้อมกันรอบจุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

 แรงดันไบอัสขนาดเล็กนี้ โดยทั่วไปจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 5% ถึง 10% ของกระแสในสภาวะปกติ ทำให้ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวขับเคลื่อนกระแสไปที่วงจรมากกว่าครึ่งรอบ ตัวขยายสัญญาณคลาส AB มีคุณสมบัติที่ดีในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นเชิงเส้น โดยมีประสิทธิภาพในการแปลงประมาณ 50% ถึง 60%

ตัวขยายสัญญาณคลาส C

ตัวขยายสัญญาณคลาส C มีประสิทธิภาพสูงแต่ความเป็นเชิงเส้นตํ่า เนื่องจากถูกปรับแต่งให้กระแสส่งออกมีค่าเทียบเท่าศูนย์เป็นระยะเวลานานมากกว่าครึ่งหนึ่งของวงจรสัญญาณไซนูซอยด์อินพุต  ส่งผลให้มีมุมนำกระแสอยู่ที่ประมาณ 90 องศา ระดับประสิทธิภาพของตัวขยายสัญญาณคลาส C อยู่ที่ประมาณ 80%  แต่ส่งผลต่อการทำให้สัญญาณเอาท์พุตบิดเบือน จึงไม่เหมาะต่อการใช้งานระบบเสียงทั่วไป และมักพบการใช้งานในสัญญาณคลื่นรูปไซน์ และตัวขยายสัญญาณความถี่วิทยุบางรุ่น

จากที่กล่าวไปข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ประเภทของตัวขยายสัญญาณจำแนกตามจุดปฏิบัติการ DC  ตัวขยายสัญญาณคลาส A ที่ความเป็นเชิงเส้นดี แต่ประสิทธิภาพต่ำ ตัวขยายสัญญาณคลาส B ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแต่ชักนำให้สัญญาณบิดเบือน  ตัวขยายสัญญาณคลาส AB ที่สร้างความสมดุลระหว่างคุณสมบัติทั้งสอง และสุดท้ายตัวขยายสัญญาณคลาส C ที่ให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพมากกว่าความเป็นเชิงเส้น

นอกจากตัวขยายสัญญาณคลาส  A, B, และ AB ที่ใช้ขยายสัญญาณอย่างแพร่หลาย ยังมีคลาสตัวขยายสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสูงที่ใช้เทคนิคการสลับและการประมวลผลสัญญาณดิจิทัลต่างๆ เช่น ตัวขยายสัญญาณคลาส D, ตัวขยายสัญญาณคลาส F, ตัวขยายสัญญาณคลาส G, ตัวขยายสัญญาณคลาส I, ตัวขยายสัญญาณคลาส S และตัวขยายสัญญาณคลาส T ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติและวิธีใช้งานแตกต่างกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความ
January 26, 2024

การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลายหลายรูปแบบ ที่มีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนระหว่างความเป็นเชิงเส้น ประสิทธิภาพและพลังงาน มีการจัดประเภทเป็นคลาสระดับต่างๆ เช่น A, B, AB,

นักเขียนบทความ
by 
นักเขียนบทความ
การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลายหลายรูปแบบ ที่มีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนระหว่างความเป็นเชิงเส้น ประสิทธิภาพและพลังงาน มีการจัดประเภทเป็นคลาสระดับต่างๆ เช่น A, B, AB,

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีคุณสมบัติต่างกันตามการกำหนดค่า และการทำงานของขั้นตอนเอาท์พุต คุณสมบัติสำคัญของตัวขยายสัญญาณที่ดีจะต้องมีความเป็นเชิงเส้น ตัวขยายสัญญาณ ประสิทธิภาพ และกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริง  ซึ่งตัวขยายสัญญาณในโลกความเป็นจริงจะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างคุณสมบัติที่กล่าวเหล่านี้

ตัวขยายสัญญาณขนาดใหญ่ หรือตัวขยายสัญญาณมักใช้ภาคขยายกำลังของระบบขยายเสียงขับโหลดลำโพง โดยลำโพงปกติมีค่าความต้านทานระหว่าง 4Ω ถึง 8Ω ด้วยวิธีการนี้ ตัวขยายสัญญาณต้องส่งกระแสระดับสูงมาขับพลังงานของลำโพงที่มีค่าความต้านทานต่ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวขยายสัญญาณถูกจัดประเภทตามการกำหนดค่าและขั้นตอนการทำงานของวงจร วงจรของตัวขยายสัญญาณมีหน้าที่แยกแยะคุณสมบัติทางไฟฟ้าของตัวขยายสัญญาณประเภทต่าง ๆ  ต่อจากนี้จะเป็นรายละเอียดของระดับคลาสตัวขยายสัญญาณประเภทต่างๆ 

ตัวขยายสัญญาณคลาส  A

ตัวขยายสัญญาณคลาส A มักถูกใช้งานด้านระบบเสียงทั่วไป ใช้ทรานซิสเตอร์สวิตซ์เอาท์พุตเดี่ยว (เช่น ไบโพลาร์, FET, IGBT) ในการออกแบบ ทรานซิสเตอร์นี้ยังมีการปรับแต่งรอบจุด Q ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตัด หรือพื้นที่ต้านจนทำให้สูญเสียการทำงาน ทำให้สามารถนำกระแสได้ตลอด 360 องศาของวงจรอินพุต อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของตัวขยายสัญญาณคลาส A คือ ตัวเอาท์พุตของทรานซิสเตอร์จะอยู่ในสถานะ “เปิด”ตลอด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ ประมาณ 30%

ตัวขยายสัญญาณคลาส B

ตัวขยายสัญญาณคลาส B ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพ และการให้ความร้อนที่พบในตัวขยายสัญญาณคลาส A ตัวขยายสัญญาณเหล่านี้ใช้ทรานซิสเตอร์ประเภทคอมพลิเมนตารี 

หนึ่งในแต่ละครึ่งของรูปคลื่นอยู่ในวงจรรูปแบบ "Push-Pull" เมื่อทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งทำงาน ทรานซิสเตอร์อีกตัวจะถูกสวิตซ์ให้อยู่ในสถานะ "ปิด" การออกแบบนี้เพิ่มประสิทธิภาพประมาณ 50% แต่อาจชักนำให้เกิดการบิดเบือนใกล้จุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB  จะรวมคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณคลาส A และตัวขยายสัญญาณคลาส B เข้าด้วยกัน สามารถกำจัดปัญหาเรื่องความบิดเบือนที่เกิดขึ้นในตัวขยายสัญญาณคลาส B โดยการอนุญาตให้ทรานซิสเตอร์ทั้งสองอันดำเนินการพร้อมกันรอบจุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

 แรงดันไบอัสขนาดเล็กนี้ โดยทั่วไปจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 5% ถึง 10% ของกระแสในสภาวะปกติ ทำให้ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวขับเคลื่อนกระแสไปที่วงจรมากกว่าครึ่งรอบ ตัวขยายสัญญาณคลาส AB มีคุณสมบัติที่ดีในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นเชิงเส้น โดยมีประสิทธิภาพในการแปลงประมาณ 50% ถึง 60%

ตัวขยายสัญญาณคลาส C

ตัวขยายสัญญาณคลาส C มีประสิทธิภาพสูงแต่ความเป็นเชิงเส้นตํ่า เนื่องจากถูกปรับแต่งให้กระแสส่งออกมีค่าเทียบเท่าศูนย์เป็นระยะเวลานานมากกว่าครึ่งหนึ่งของวงจรสัญญาณไซนูซอยด์อินพุต  ส่งผลให้มีมุมนำกระแสอยู่ที่ประมาณ 90 องศา ระดับประสิทธิภาพของตัวขยายสัญญาณคลาส C อยู่ที่ประมาณ 80%  แต่ส่งผลต่อการทำให้สัญญาณเอาท์พุตบิดเบือน จึงไม่เหมาะต่อการใช้งานระบบเสียงทั่วไป และมักพบการใช้งานในสัญญาณคลื่นรูปไซน์ และตัวขยายสัญญาณความถี่วิทยุบางรุ่น

จากที่กล่าวไปข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ประเภทของตัวขยายสัญญาณจำแนกตามจุดปฏิบัติการ DC  ตัวขยายสัญญาณคลาส A ที่ความเป็นเชิงเส้นดี แต่ประสิทธิภาพต่ำ ตัวขยายสัญญาณคลาส B ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแต่ชักนำให้สัญญาณบิดเบือน  ตัวขยายสัญญาณคลาส AB ที่สร้างความสมดุลระหว่างคุณสมบัติทั้งสอง และสุดท้ายตัวขยายสัญญาณคลาส C ที่ให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพมากกว่าความเป็นเชิงเส้น

นอกจากตัวขยายสัญญาณคลาส  A, B, และ AB ที่ใช้ขยายสัญญาณอย่างแพร่หลาย ยังมีคลาสตัวขยายสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสูงที่ใช้เทคนิคการสลับและการประมวลผลสัญญาณดิจิทัลต่างๆ เช่น ตัวขยายสัญญาณคลาส D, ตัวขยายสัญญาณคลาส F, ตัวขยายสัญญาณคลาส G, ตัวขยายสัญญาณคลาส I, ตัวขยายสัญญาณคลาส S และตัวขยายสัญญาณคลาส T ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติและวิธีใช้งานแตกต่างกัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ
บทความ
Jan 19, 2024

การจำแนกประเภทและคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณ

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลายหลายรูปแบบ ที่มีคุณสมบัติแลกเปลี่ยนระหว่างความเป็นเชิงเส้น ประสิทธิภาพและพลังงาน มีการจัดประเภทเป็นคลาสระดับต่างๆ เช่น A, B, AB,

Lorem ipsum dolor amet consectetur adipiscing elit tortor massa arcu non.

ตัวขยายสัญญาณมีดีไซน์หลากหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีคุณสมบัติต่างกันตามการกำหนดค่า และการทำงานของขั้นตอนเอาท์พุต คุณสมบัติสำคัญของตัวขยายสัญญาณที่ดีจะต้องมีความเป็นเชิงเส้น ตัวขยายสัญญาณ ประสิทธิภาพ และกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานจริง  ซึ่งตัวขยายสัญญาณในโลกความเป็นจริงจะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างคุณสมบัติที่กล่าวเหล่านี้

ตัวขยายสัญญาณขนาดใหญ่ หรือตัวขยายสัญญาณมักใช้ภาคขยายกำลังของระบบขยายเสียงขับโหลดลำโพง โดยลำโพงปกติมีค่าความต้านทานระหว่าง 4Ω ถึง 8Ω ด้วยวิธีการนี้ ตัวขยายสัญญาณต้องส่งกระแสระดับสูงมาขับพลังงานของลำโพงที่มีค่าความต้านทานต่ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวขยายสัญญาณถูกจัดประเภทตามการกำหนดค่าและขั้นตอนการทำงานของวงจร วงจรของตัวขยายสัญญาณมีหน้าที่แยกแยะคุณสมบัติทางไฟฟ้าของตัวขยายสัญญาณประเภทต่าง ๆ  ต่อจากนี้จะเป็นรายละเอียดของระดับคลาสตัวขยายสัญญาณประเภทต่างๆ 

ตัวขยายสัญญาณคลาส  A

ตัวขยายสัญญาณคลาส A มักถูกใช้งานด้านระบบเสียงทั่วไป ใช้ทรานซิสเตอร์สวิตซ์เอาท์พุตเดี่ยว (เช่น ไบโพลาร์, FET, IGBT) ในการออกแบบ ทรานซิสเตอร์นี้ยังมีการปรับแต่งรอบจุด Q ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตัด หรือพื้นที่ต้านจนทำให้สูญเสียการทำงาน ทำให้สามารถนำกระแสได้ตลอด 360 องศาของวงจรอินพุต อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของตัวขยายสัญญาณคลาส A คือ ตัวเอาท์พุตของทรานซิสเตอร์จะอยู่ในสถานะ “เปิด”ตลอด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ ประมาณ 30%

ตัวขยายสัญญาณคลาส B

ตัวขยายสัญญาณคลาส B ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพ และการให้ความร้อนที่พบในตัวขยายสัญญาณคลาส A ตัวขยายสัญญาณเหล่านี้ใช้ทรานซิสเตอร์ประเภทคอมพลิเมนตารี 

หนึ่งในแต่ละครึ่งของรูปคลื่นอยู่ในวงจรรูปแบบ "Push-Pull" เมื่อทรานซิสเตอร์ตัวหนึ่งทำงาน ทรานซิสเตอร์อีกตัวจะถูกสวิตซ์ให้อยู่ในสถานะ "ปิด" การออกแบบนี้เพิ่มประสิทธิภาพประมาณ 50% แต่อาจชักนำให้เกิดการบิดเบือนใกล้จุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB

ตัวขยายสัญญาณคลาส AB  จะรวมคุณสมบัติของตัวขยายสัญญาณคลาส A และตัวขยายสัญญาณคลาส B เข้าด้วยกัน สามารถกำจัดปัญหาเรื่องความบิดเบือนที่เกิดขึ้นในตัวขยายสัญญาณคลาส B โดยการอนุญาตให้ทรานซิสเตอร์ทั้งสองอันดำเนินการพร้อมกันรอบจุดตัดศูนย์ของรูปคลื่น

 แรงดันไบอัสขนาดเล็กนี้ โดยทั่วไปจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 5% ถึง 10% ของกระแสในสภาวะปกติ ทำให้ทรานซิสเตอร์แต่ละตัวขับเคลื่อนกระแสไปที่วงจรมากกว่าครึ่งรอบ ตัวขยายสัญญาณคลาส AB มีคุณสมบัติที่ดีในการสร้างสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นเชิงเส้น โดยมีประสิทธิภาพในการแปลงประมาณ 50% ถึง 60%

ตัวขยายสัญญาณคลาส C

ตัวขยายสัญญาณคลาส C มีประสิทธิภาพสูงแต่ความเป็นเชิงเส้นตํ่า เนื่องจากถูกปรับแต่งให้กระแสส่งออกมีค่าเทียบเท่าศูนย์เป็นระยะเวลานานมากกว่าครึ่งหนึ่งของวงจรสัญญาณไซนูซอยด์อินพุต  ส่งผลให้มีมุมนำกระแสอยู่ที่ประมาณ 90 องศา ระดับประสิทธิภาพของตัวขยายสัญญาณคลาส C อยู่ที่ประมาณ 80%  แต่ส่งผลต่อการทำให้สัญญาณเอาท์พุตบิดเบือน จึงไม่เหมาะต่อการใช้งานระบบเสียงทั่วไป และมักพบการใช้งานในสัญญาณคลื่นรูปไซน์ และตัวขยายสัญญาณความถี่วิทยุบางรุ่น

จากที่กล่าวไปข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ประเภทของตัวขยายสัญญาณจำแนกตามจุดปฏิบัติการ DC  ตัวขยายสัญญาณคลาส A ที่ความเป็นเชิงเส้นดี แต่ประสิทธิภาพต่ำ ตัวขยายสัญญาณคลาส B ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแต่ชักนำให้สัญญาณบิดเบือน  ตัวขยายสัญญาณคลาส AB ที่สร้างความสมดุลระหว่างคุณสมบัติทั้งสอง และสุดท้ายตัวขยายสัญญาณคลาส C ที่ให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพมากกว่าความเป็นเชิงเส้น

นอกจากตัวขยายสัญญาณคลาส  A, B, และ AB ที่ใช้ขยายสัญญาณอย่างแพร่หลาย ยังมีคลาสตัวขยายสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสูงที่ใช้เทคนิคการสลับและการประมวลผลสัญญาณดิจิทัลต่างๆ เช่น ตัวขยายสัญญาณคลาส D, ตัวขยายสัญญาณคลาส F, ตัวขยายสัญญาณคลาส G, ตัวขยายสัญญาณคลาส I, ตัวขยายสัญญาณคลาส S และตัวขยายสัญญาณคลาส T ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติและวิธีใช้งานแตกต่างกัน

Related articles