สำรวจอัลกอริทึม MPPT: P&O, Inc. Cond. และ AI ล้ำสมัยเพื่อผลิตพลังงานสูงสุด
พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่แหล่งพลัง งานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตโดยแผงโซลาร์เซลล์ (PV) ยังคงไม่คงที่ โดยเฉพาะความร้อนของแสงอาทิตย์และอุณหภูมิของเซลล์ผันผวน ไปตามสภาพแวดล้อม กราฟแสดงกระแส-แรงดัน (I-V) ของเซลล์ PV เผยให้ เห็นลักษณะสำคัญที่เรียกว่า จุดกำลังไฟฟ้าสูงสุด (MPP) ซึ่งเป็นผลคูณระหว่าง กระแสและแรงดันทำให้เกิดกำลังไฟฟ้าสูงสุดที่เป็นไปได้
ความท้าทาย คือ จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ การติดตามจุดกำลังไฟฟ้าสูงสุด (MPPT) เป็นกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ และ ตัวควบคุม การชาร์จ มีการปรับจุดทำงานทางไฟฟ้าของโมดูลโดยอัตโนมัติเพื่อดึงพลังงาน ที่มีอยู่มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากไม่มี MPPT ระบบพลังงานแสงอาทิตย์จะ ทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานที่มีศักยภาพไปจำนวนมาก
MPPT คือ รูปแบบขั้นสูงของการจับคู่อิมพีแดนซ์ ตัวควบคุม MPPT ทำหน้าที่เป็นตัวแปลง DC-DC แบบอัจฉริยะ อยู่ระหว่างแผงโซลาร์เซลล์ และโหลด หรือแบตเตอรี่ โดยจะสุ่มตัวอย่างแรงดันและกระแสไฟฟ้าของแผงอย่างต่อเนื่อง เพื่อคำนวณกำลังไฟฟ้าขณะนั้น (P = V * I) กราฟกำลังไฟฟ้า-แรงดันไฟฟ้า (P-V) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของแผงโซลาร์เซลล์แบบ non-linear อัลกอริทึมของตัวควบคุม ใช้เทคนิคเฉพาะเพื่อควบคุมกราฟ โดยปรับ Duty Cycle ของตัวแปลงเพื่อเปลี่ยน อิมพีแดนซ์โหลดที่แผงโซลาร์เซลล์ให้ตรงกับอิมพีแดนซ์ที่ส่งด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด กระบวนการนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่า แผงโซลาร์เซลล์จะทำงานใกล้จุดสูงสุดของ กราฟกำลังไฟฟ้าเสมอ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมภายนอก
หนึ่งในอัลกอริทึม MPPT ที่ใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุดคือ วิธีการ Perturb and Observe (P&O) หรือที่รู้จักกันในชื่อเทคนิค "hill-climbing" วิธีนี้ได้รับความนิยมเพราะ ความเรียบง่าย ใช้งานง่าย และต้นทุนการคำนวณที่ต่ำ อัลกอริทึมนี้ทำงานโดยการรบกวนแรงดันไฟฟ้า (Perturb) เป็นช่วงๆ (เพิ่มขึ้น หรือ ลดลงเล็กน้อย) แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลงของกำลังไฟฟ้าที่เกิดขึ้น หากการรบกวน แรงดันไฟฟ้านี้ทำให้กำลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อัลกอริทึมจะอนุมานว่า กำลังไฟฟ้ากำลัง เคลื่อนที่เข้าหา MPP และจะยังคงรบกวนต่อไปในทิศทางเดิม ในทางกลับกัน หากกำลังไฟฟ้าลดลง อัลกอริทึมจะกลับทิศทางการรบกวน ทำให้เกิดการแกว่งรอบ MPP อย่างต่อเนื่อง ข้อเสียหลักของวิธีการ P&O คือ ขนาดการรบกวนที่มากขึ้น (a larger perturbation step size) ทำให้การติดตามเร็วขึ้น และเกิดการแกว่งถี่ขึ้น จึงสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามหาก MPP มีขนาดการ รบกวนน้อย การแกว่งจะลดลงตาม ทำให้การติตตามความเร็วช้าลง แต่ประสิทธิภาพด้านการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงก็จะน้อยลงเช่นกัน
อัลกอริทึมค่าการนำไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น (Incremental Conductance: InC) พัฒนาขึ้นเพื่อเอาชนะข้อจำกัดของ P&O เรื่องการแกว่งตัวในสภาวะคงตัว โดย InC ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ว่าความชันของเส้นโค้ง P-V เป็นศูนย์ที่ MPP โดยมีค่าเป็นบวกอยู่ด้านซ้าย และมีค่าเป็นลบอยู่ด้านขวา ความชันนี้แสดงการใช้ค่า การนำไฟฟ้าขณะนั้น (Instantaneous Conductance :I/V) ของแผงโซลาร์เซลล์ และค่าการนำไฟฟ้าที่เพิ่มได้ (dI/dV) อัลกอริทึมนี้ใช้ค่าทั้งสองเพื่อกำหนด ตำแหน่งที่แน่นอนของ MPP โดยกำหนดว่าที่ MPP ค่า dI/dV = -I/V หาก dI/dV > -I/V จุดทำงานจะอยู่ทางซ้ายของ MPP และควรเพิ่มแรงดันไฟฟ้า หาก dI/dV < -I/V จุดทำงานจะอยู่ทางขวา และควรลดแรงดันไฟฟ้า เนื่องจาก InC สามารถกำหนด ทิศทางที่แน่นอนไปยัง MPP โดยไม่แกว่งไปมา ความแม่นยำจึงสูงขึ้นและ มีความคลาดเคลื่อนจากสภาวะคงตัวน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนี้ ต้องแลกมาด้วยความซับซ้อนในการคำนวณที่เพิ่มขึ้นและพึ่งพาการวัดเซ็นเซอร์ที่ แม่นยำและรวดเร็ว
แม้อัลกอริทึมทั่วไปอย่าง P&O และ InC จะทำงานได้ดีภายใต้ สภาวะที่เสถียร หรือเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ แต่อัลกอริทึมเหล่านี้กลับประสบปัญหาในเรื่อง shading และการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากของการแผ่คลื่น สถานการณ์เหล่านี้ ก่อให้เกิดเส้นโค้ง P-V ที่ซับซ้อน ซึ่งมีจุดสูงสุดของกำลังไฟฟ้าเฉพาะที่หลายจุด ทำให้วิธีการแบบดั้งเดิมติดอยู่บนจุดสูงสุดที่ต่ำกว่ามาตรฐานได้ง่าย ความท้าทายนี้ กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาวิธีการ MPPT ขั้นสูงที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การเรียนรู้ของเครื่องเทคนิคต่างๆ เช่น เครือข่ายประสาท (Artificial Neural Networks: ANN) การควบคุมลอจิกแบบฟัซซี (Fuzzy Logic Control: FLC) และการปรับแต่งค่าแสงแบบกลุ่มอนุภาค (Particle Swarm Optimization: PSO) กำลังถูกนำไปใช้เพื่อสร้างระบบ MPPT ที่ชาญฉลาดและปรับตัวได้มากยิ่งขึ้น
การควบคุมฟัซซีลอจิก (FLC) เหมาะสำหรับ MPPT ที่ไม่จำเป็น ต้องมีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่แม่นยำในระบบ PV ระบบควบคุม จะทำงานโดยการใช้ตัวแปรทางภาษา (เช่น "ค่าลบใหญ่ negative big ", "ค่าบวกเล็ก positive small ") ซึ่งกำหนดโดย กฎ "If-Then" อินพุตของ MPPT ที่ใช้ FLC ทั่วไป ได้แก่ ค่าความคลาดเคลื่อน (จากการเปลี่ยนแปลงของกำลังไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า) และค่าความคลาดเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวควบคุมจะประมวลผลอินพุตเหล่านี้ ผ่านกฎเพื่อสร้างเอาต์พุตที่มีการปรับ Duty Cycle ยิ่งไปกว่านั้น หาก FLC ทนทานสูง จะสามารถจัดการระบบไม่เชิงเส้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ากันได้อย่างรวดเร็วกับ MPP โดยมีการแกว่งน้อยที่สุด
เครือข่ายประสาท (ANN) มีแนวทางที่แตกต่างออกไป สามารถฝึกแบบ ออฟไลน์ (Trained Offline) บนชุดข้อมูลขนาดใหญ่ของคุณลักษณะโมดูล PV ภายใต้อุณหภูมิและระดับการแผ่คลื่นรังสีที่หลากหลาย เมื่อฝึกแล้ว ANN จะ สามารถคาดการณ์แรงดันไฟฟ้า หรือ Duty Cycle ของ MPP ได้เกือบจะทันที โดยอิงจากอินพุตของเซ็นเซอร์แบบเรียลไทม์ (การแผ่รังสี อุณหภูมิ ฯลฯ) ทำให้ สามารถติดตามได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น นอกจากนี้ อัลกอริทึมการหาค่าที่ เหมาะที่สุดแบบชีวภาพ เช่น Particle Swarm Optimization (PSO) ยังมี ประสิทธิภาพสูงสำหรับเส้นโค้งแบบ Multi-Modal ที่ซับซ้อน ซึ่งเกิดจากการ Shading บางส่วน PSO จึงใช้กลุ่ม "อนุภาค" เพื่อค้นหาช่วงแรงดันไฟฟ้าทั้งหมด ร่วมกันกับการค้นหา MPP ที่จุดสูงสุด ทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้พลังงานสูงสุด แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป