เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีม (Beamforming) ในการสื่อสารไร้สาย เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับ-ส่งสัญญาณให้รวดเร็ว มีความเสถียร และลดสัญญาณรบกวน ด้วย

เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

ในยุคแห่งการสื่อสารในปัจจุบัน มีการพัฒนาให้การสื่อสารมีความสะดวก รวดเร็วฉับไว และมีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายอย่าง Wireless Communicationนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ จึงมีการคันคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องในการประยุกต์เทคนิคต่างๆที่เกี่ยวกับการใช้สายอากาศหรือ Antenna เพื่อช่วยให้การสื่อสารนั้นมีเสถียรภาพและตอบโจทย์กับการใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งในทางวิศวกรรมนี้เราเรียกว่า Beamforming Techniques เทคนิคนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้กับการการสื่อสารไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำให้การสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น

การสื่อสารไร้สาย ( Wireless Communication)

การสื่อสารไร้สาย หรือ Wireless Communication นั้น ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่คุ้นเคย แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของการสื่อสารไร้สายนั้น คือการส่งข้อมูลไปมาระหว่างอุปกรณ์ภาครับและภาคส่งโดยอาศัยตัวกลาง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) สัญญาณวิทยุ (Radio Signals) โดยมีทั้งข้อมูลในรูปแบบ ของเสียง ภาพและวีดีโอ เป็นต้น  

ประวัติการสื่อสารไร้สาย แบบย่อ

เริ่มต้นจากการสื่อสารพื้นฐานด้วยการใช้รหัสมอร์ส (Morse) ผ่านตัวกลางโดยใช้สัญญาณวิทยุ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก จนต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1970 มีการศึกษาค้นคว้าจนนำไปสู่การสื่อสารโดยใช้เครือข่ายในบริเวณต่างๆ โดยมีขอบเขตที่จำกัด เช่น WAN (Wide Area Network) เป็นต้น ซึ่งการสื่อสารบนเครือข่าย WAN  นั้นได้มีการประยุกต์มาจากการใช้คลื่นความถี่ที่สูงในการถ่ายทอดสัญญานและส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน จากนั้นเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมากขึ้น ได้เกิดเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น  Ethermet ฯลฯ และจนในที่สุด การสื่อสารไร้สายได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีจุดเริ่มต้นเป็น IEEE 802.11 มาเป็นมาตรฐานของเครือข่ายไร้สาย

อย่างไรก็ตาม ในการที่จะทำให้การสื่อสารไร้สายสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้และสามารถให้บริการได้อย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่นั้น อีกทั้งยังต้องมีการรักษาคุณภาพของการสื่อสารให้มีความต่อเนื่อง เสถียรภาพ มั่นคง ดังนั้นเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายจึงต้องมีการปรับปรุงและเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์ในการทำหน้าที่ส่งและรับสัญญานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการนี้เรียกว่า เทคนิคในการปรับแต่งสัญญาณ หรือ Beam Forming Techniques  สามารถแบ่งออกเป็นได้ 3 ประเภท คือ

1. Analog Beamforming

2. Digital Beamforming

3. Hybridge Beamforming

ประเภทของ Beam Forming Techniques

• Analog Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อก กล่าวคือการปรับแต่งสัญญาณโดยการปรับเฟสในการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยทั่วไปจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Phase Shifter ในการหันไปยังทิศทางที่ต้องการจะแพร่คลื่น ที่มีข้อจำกัดของ RF Chain ในการเชื่อมต่อไปยัง Phase Shifter และสายอากาศ

• Digital Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นการปรับแต่งโดยใช้การกระบวนการของ Digital Image Processing ซึ่งมีความอ่อนตัวและสามารถควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้อง แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องของราคาและจำนวนที่ใช้ในส่วนของ RF Chain

• Hybridge Beamforming เป็นการผสมผสานกันระหว่างการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและการปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้อย่างดียิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถลดข้อจำกัดในการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและดิจิตอลได้อีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ซึ่งมีการรับส่งสัญญาณที่มีปริมาณจำนวนมากได้

ความได้เปรียบเทียบของการใช้เทคนิค Beam Forming  Technique

ยกระดับคุณภาพการส่งสัญญาณและมีความต่อเนื่องของสัญญาณ ซึ่งสามารถครอบคลุมพื้นที่ที่มีการสื่อสาร แม้จะอยู่พื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างหนาแน่น อีกทั้งลดสิ่งรบกวนต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งในการใช้เทคนิคนี้ยังเป็นการเพิ่ม Capacities ปริมาณช่องทางในการส่งสัญญาณได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งสัญญาณแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามทั้งนี้การส่งข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีเครื่องรับที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการเข้ารหัสและการประมวลผลในภาครับ

เทคนิค Beam Forming มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ในการสื่อสารไร้สายที่เพิ่มขีดความสามารถในการส่งสัญญาณได้หลายช่องสัญญาณ (RF Chain)

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Beam Forming Technique

ระบบ Radar System มีประโยชน์ในการสื่อสารทั้งทางพลเรือนและทางทหารซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในความต้องการของความแม่นยำและถูกต้องของสัญญาณ

โทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่และ Wi-Fi ซึ่งมีการใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ฉับไวแม้จะมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาแต่เนื่องจากสัญญาณข้อมูลนั้นอยู่ในลักษณะ Beam Forming จึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างดีและคงรักษาคุณภาพของสัญญาณได้

การสื่อสารผ่านดาวเทียม มีประโยชน์ต่อการใช้งานทั้งการ Broadcast และการสื่อสารปกติ

บทความที่เกี่ยวข้อง

เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีม (Beamforming) ในการสื่อสารไร้สาย เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับ-ส่งสัญญาณให้รวดเร็ว มีความเสถียร และลดสัญญาณรบกวน ด้วย

นักเขียนบทความ
by 
นักเขียนบทความ
เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีม (Beamforming) ในการสื่อสารไร้สาย เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับ-ส่งสัญญาณให้รวดเร็ว มีความเสถียร และลดสัญญาณรบกวน ด้วย

ในยุคแห่งการสื่อสารในปัจจุบัน มีการพัฒนาให้การสื่อสารมีความสะดวก รวดเร็วฉับไว และมีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายอย่าง Wireless Communicationนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ จึงมีการคันคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องในการประยุกต์เทคนิคต่างๆที่เกี่ยวกับการใช้สายอากาศหรือ Antenna เพื่อช่วยให้การสื่อสารนั้นมีเสถียรภาพและตอบโจทย์กับการใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งในทางวิศวกรรมนี้เราเรียกว่า Beamforming Techniques เทคนิคนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้กับการการสื่อสารไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำให้การสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น

การสื่อสารไร้สาย ( Wireless Communication)

การสื่อสารไร้สาย หรือ Wireless Communication นั้น ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่คุ้นเคย แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของการสื่อสารไร้สายนั้น คือการส่งข้อมูลไปมาระหว่างอุปกรณ์ภาครับและภาคส่งโดยอาศัยตัวกลาง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) สัญญาณวิทยุ (Radio Signals) โดยมีทั้งข้อมูลในรูปแบบ ของเสียง ภาพและวีดีโอ เป็นต้น  

ประวัติการสื่อสารไร้สาย แบบย่อ

เริ่มต้นจากการสื่อสารพื้นฐานด้วยการใช้รหัสมอร์ส (Morse) ผ่านตัวกลางโดยใช้สัญญาณวิทยุ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก จนต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1970 มีการศึกษาค้นคว้าจนนำไปสู่การสื่อสารโดยใช้เครือข่ายในบริเวณต่างๆ โดยมีขอบเขตที่จำกัด เช่น WAN (Wide Area Network) เป็นต้น ซึ่งการสื่อสารบนเครือข่าย WAN  นั้นได้มีการประยุกต์มาจากการใช้คลื่นความถี่ที่สูงในการถ่ายทอดสัญญานและส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน จากนั้นเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมากขึ้น ได้เกิดเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น  Ethermet ฯลฯ และจนในที่สุด การสื่อสารไร้สายได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีจุดเริ่มต้นเป็น IEEE 802.11 มาเป็นมาตรฐานของเครือข่ายไร้สาย

อย่างไรก็ตาม ในการที่จะทำให้การสื่อสารไร้สายสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้และสามารถให้บริการได้อย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่นั้น อีกทั้งยังต้องมีการรักษาคุณภาพของการสื่อสารให้มีความต่อเนื่อง เสถียรภาพ มั่นคง ดังนั้นเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายจึงต้องมีการปรับปรุงและเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์ในการทำหน้าที่ส่งและรับสัญญานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการนี้เรียกว่า เทคนิคในการปรับแต่งสัญญาณ หรือ Beam Forming Techniques  สามารถแบ่งออกเป็นได้ 3 ประเภท คือ

1. Analog Beamforming

2. Digital Beamforming

3. Hybridge Beamforming

ประเภทของ Beam Forming Techniques

• Analog Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อก กล่าวคือการปรับแต่งสัญญาณโดยการปรับเฟสในการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยทั่วไปจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Phase Shifter ในการหันไปยังทิศทางที่ต้องการจะแพร่คลื่น ที่มีข้อจำกัดของ RF Chain ในการเชื่อมต่อไปยัง Phase Shifter และสายอากาศ

• Digital Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นการปรับแต่งโดยใช้การกระบวนการของ Digital Image Processing ซึ่งมีความอ่อนตัวและสามารถควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้อง แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องของราคาและจำนวนที่ใช้ในส่วนของ RF Chain

• Hybridge Beamforming เป็นการผสมผสานกันระหว่างการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและการปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้อย่างดียิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถลดข้อจำกัดในการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและดิจิตอลได้อีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ซึ่งมีการรับส่งสัญญาณที่มีปริมาณจำนวนมากได้

ความได้เปรียบเทียบของการใช้เทคนิค Beam Forming  Technique

ยกระดับคุณภาพการส่งสัญญาณและมีความต่อเนื่องของสัญญาณ ซึ่งสามารถครอบคลุมพื้นที่ที่มีการสื่อสาร แม้จะอยู่พื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างหนาแน่น อีกทั้งลดสิ่งรบกวนต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งในการใช้เทคนิคนี้ยังเป็นการเพิ่ม Capacities ปริมาณช่องทางในการส่งสัญญาณได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งสัญญาณแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามทั้งนี้การส่งข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีเครื่องรับที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการเข้ารหัสและการประมวลผลในภาครับ

เทคนิค Beam Forming มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ในการสื่อสารไร้สายที่เพิ่มขีดความสามารถในการส่งสัญญาณได้หลายช่องสัญญาณ (RF Chain)

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Beam Forming Technique

ระบบ Radar System มีประโยชน์ในการสื่อสารทั้งทางพลเรือนและทางทหารซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในความต้องการของความแม่นยำและถูกต้องของสัญญาณ

โทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่และ Wi-Fi ซึ่งมีการใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ฉับไวแม้จะมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาแต่เนื่องจากสัญญาณข้อมูลนั้นอยู่ในลักษณะ Beam Forming จึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างดีและคงรักษาคุณภาพของสัญญาณได้

การสื่อสารผ่านดาวเทียม มีประโยชน์ต่อการใช้งานทั้งการ Broadcast และการสื่อสารปกติ

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique. Duis cursus, mi quis viverra ornare, eros dolor interdum nulla, ut commodo diam libero vitae erat. Aenean faucibus nibh et justo cursus id rutrum lorem imperdiet. Nunc ut sem vitae risus tristique posuere.

เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีมในระบบการสื่อสารไร้สาย

เทคนิคการปรับบีม (Beamforming) ในการสื่อสารไร้สาย เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับ-ส่งสัญญาณให้รวดเร็ว มีความเสถียร และลดสัญญาณรบกวน ด้วย

Lorem ipsum dolor amet consectetur adipiscing elit tortor massa arcu non.

ในยุคแห่งการสื่อสารในปัจจุบัน มีการพัฒนาให้การสื่อสารมีความสะดวก รวดเร็วฉับไว และมีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายอย่าง Wireless Communicationนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ จึงมีการคันคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่องในการประยุกต์เทคนิคต่างๆที่เกี่ยวกับการใช้สายอากาศหรือ Antenna เพื่อช่วยให้การสื่อสารนั้นมีเสถียรภาพและตอบโจทย์กับการใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งในทางวิศวกรรมนี้เราเรียกว่า Beamforming Techniques เทคนิคนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้กับการการสื่อสารไร้สายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถทำให้การสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น

การสื่อสารไร้สาย ( Wireless Communication)

การสื่อสารไร้สาย หรือ Wireless Communication นั้น ในปัจจุบันแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักหรือไม่คุ้นเคย แต่อย่างไรก็ตาม ความหมายของการสื่อสารไร้สายนั้น คือการส่งข้อมูลไปมาระหว่างอุปกรณ์ภาครับและภาคส่งโดยอาศัยตัวกลาง ยกตัวอย่างเช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic) สัญญาณวิทยุ (Radio Signals) โดยมีทั้งข้อมูลในรูปแบบ ของเสียง ภาพและวีดีโอ เป็นต้น  

ประวัติการสื่อสารไร้สาย แบบย่อ

เริ่มต้นจากการสื่อสารพื้นฐานด้วยการใช้รหัสมอร์ส (Morse) ผ่านตัวกลางโดยใช้สัญญาณวิทยุ ตั้งแต่สมัยสงครามโลก จนต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1970 มีการศึกษาค้นคว้าจนนำไปสู่การสื่อสารโดยใช้เครือข่ายในบริเวณต่างๆ โดยมีขอบเขตที่จำกัด เช่น WAN (Wide Area Network) เป็นต้น ซึ่งการสื่อสารบนเครือข่าย WAN  นั้นได้มีการประยุกต์มาจากการใช้คลื่นความถี่ที่สูงในการถ่ายทอดสัญญานและส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน จากนั้นเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมากขึ้น ได้เกิดเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น  Ethermet ฯลฯ และจนในที่สุด การสื่อสารไร้สายได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีจุดเริ่มต้นเป็น IEEE 802.11 มาเป็นมาตรฐานของเครือข่ายไร้สาย

อย่างไรก็ตาม ในการที่จะทำให้การสื่อสารไร้สายสามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้และสามารถให้บริการได้อย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่นั้น อีกทั้งยังต้องมีการรักษาคุณภาพของการสื่อสารให้มีความต่อเนื่อง เสถียรภาพ มั่นคง ดังนั้นเทคโนโลยีด้านการสื่อสารไร้สายจึงต้องมีการปรับปรุงและเพิ่มความสามารถของอุปกรณ์ในการทำหน้าที่ส่งและรับสัญญานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการนี้เรียกว่า เทคนิคในการปรับแต่งสัญญาณ หรือ Beam Forming Techniques  สามารถแบ่งออกเป็นได้ 3 ประเภท คือ

1. Analog Beamforming

2. Digital Beamforming

3. Hybridge Beamforming

ประเภทของ Beam Forming Techniques

• Analog Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อก กล่าวคือการปรับแต่งสัญญาณโดยการปรับเฟสในการส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยทั่วไปจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Phase Shifter ในการหันไปยังทิศทางที่ต้องการจะแพร่คลื่น ที่มีข้อจำกัดของ RF Chain ในการเชื่อมต่อไปยัง Phase Shifter และสายอากาศ

• Digital Beamforming การปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งเป็นการปรับแต่งโดยใช้การกระบวนการของ Digital Image Processing ซึ่งมีความอ่อนตัวและสามารถควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้อง แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องของราคาและจำนวนที่ใช้ในส่วนของ RF Chain

• Hybridge Beamforming เป็นการผสมผสานกันระหว่างการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและการปรับแต่งสัญญาณแบบดิจิตอล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลได้อย่างดียิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถลดข้อจำกัดในการปรับแต่งสัญญาณแบบอนาล็อกและดิจิตอลได้อีกด้วย จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ซึ่งมีการรับส่งสัญญาณที่มีปริมาณจำนวนมากได้

ความได้เปรียบเทียบของการใช้เทคนิค Beam Forming  Technique

ยกระดับคุณภาพการส่งสัญญาณและมีความต่อเนื่องของสัญญาณ ซึ่งสามารถครอบคลุมพื้นที่ที่มีการสื่อสาร แม้จะอยู่พื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างหนาแน่น อีกทั้งลดสิ่งรบกวนต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งในการใช้เทคนิคนี้ยังเป็นการเพิ่ม Capacities ปริมาณช่องทางในการส่งสัญญาณได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการส่งสัญญาณแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตามทั้งนี้การส่งข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีเครื่องรับที่เหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการเข้ารหัสและการประมวลผลในภาครับ

เทคนิค Beam Forming มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานในลักษณะ Massive MIMO Array ในการสื่อสารไร้สายที่เพิ่มขีดความสามารถในการส่งสัญญาณได้หลายช่องสัญญาณ (RF Chain)

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Beam Forming Technique

ระบบ Radar System มีประโยชน์ในการสื่อสารทั้งทางพลเรือนและทางทหารซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในความต้องการของความแม่นยำและถูกต้องของสัญญาณ

โทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่และ Wi-Fi ซึ่งมีการใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ฉับไวแม้จะมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาแต่เนื่องจากสัญญาณข้อมูลนั้นอยู่ในลักษณะ Beam Forming จึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างดีและคงรักษาคุณภาพของสัญญาณได้

การสื่อสารผ่านดาวเทียม มีประโยชน์ต่อการใช้งานทั้งการ Broadcast และการสื่อสารปกติ

Related articles