แบตเตอรี่จัดเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ โดยพลังงานจะถูกจ่ายไปยังอุปกรณ์ทั้งหลาย มีตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการชาร์จไฟเกิน หรือที่เรียกว่า “Overcharge” ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลอันตราย ต่อแบตเตอรี่ ด้วยแรงดันไฟฟ้าเกินขีดจำกัดความปลอดภัย การชาร์จไฟเกินจะทำให้เกิดความร้อน สูงเกินปกติ การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ การบวม และอาจถึงขั้นระเบิดได้ เพื่อลดความเสี่ยง เหล่านี้ ในระบบแบตเตอรี่ได้รวมกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินขั้นสูงหลายระบบไว้ด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้อุปกรณ์ และระบบอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถดำรงการใช้งานได้ราบรื่นต่อไป
Overcharge คืออะไร
Overcharge เกิดขึ้น เมื่อแบตเตอรี่ยังคงได้รับกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องอยู่ แม้แรงดันไฟ ชาร์จเต็มแล้ว ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของความเสียหายอีกหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้
- ความร้อนที่มากเกินไปจนผิดปกติ
- การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ (การก่อตัวของก๊าซในลิเธียมไอออน)
- การสูญเสียความจุไฟฟ้าอย่างถาวร
- ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือ ระเบิด
สาเหตุของ Overcharge
การ Overcharge เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยอาทิ
- เครื่องชาร์จที่ชำรุด คือ เครื่องชาร์จที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หรือ ชำรุดจนไม่สามารถ หยุดจ่ายกระแสไฟได้
- ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS: Battery Management System) ล้มเหลว คือ การที่ระบบ BMS ทำงานผิดปกติจนไม่สามารถตัดการชาร์จแรงดันไฟฟ้าตามที่กำหนดไว้ได้อย่าง ถูกต้อง
- ไฟกระชาก คือ แรงดันไฟฟ้าที่ดันจนแรงดันไฟฟ้าพุ่งสูงเกินขีดจำกัดความปลอดภัย
- เซลล์ของแบตเตอรี่ไม่สมดุล คือ เซลล์ที่อ่อนแอ หรือ แรงดันไฟดร็อปลงในแบตเตอรี่ที่มี หลายเซลล์มาประกอบกัน ซึ่งเกิดจากการถูกชาร์จมากเกินไป ขณะที่เซลล์ตัวอื่นยังชาร์จ ไม่เพียงพอ
การป้องกัน Overcharge
แบตเตอรี่สมัยใหม่ใช้ระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อป้องกันการชาร์จไฟเกินมี 4 วิธีดังนี้
1. การใช้ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)
BMS ทำหน้าที่เป็นสมองสั่งการรักษาความปลอดภัยในแบตเตอรี่ มีหน้าที่ดังนี้
- ตรวจสอบแรงดันไฟ โดยตัดการชาร์จเมื่อถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเช่น 4.2V สำหรับลิเธียมไอออน เป็นต้น
- ควบคุมกระแสไฟ เพื่อป้องกันการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้มากเกินไป
- ปรับสมดุลเซลล์แบตเตอรี่ ด้วยการรับประกันการชาร์จไฟที่สม่ำเสมอในทุกเซลล์
2. การใช้กลไกการตัดแรงดันไฟฟ้า
- ใช้วงจร IC ในการป้องกันเป็นหลัก โดยตัดการชาร์จเมื่อแรงดันไฟฟ้าเกินเกณฑ์
- การป้องกันรอง (วงจร IC สำรอง) ทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันความล้มเหลว หาก IC หลักล้มเหลว
3. การป้องกันความร้อน
- เซ็นเซอร์อุณหภูมิ ทำหน้าที่ตรวจจับ เมื่อความร้อนสูงเกินไปจะดำเนินการปิดระบบ
- ฟิวส์แบบ PTC ที่รีเซ็ตได้ เพิ่มความต้านทานให้มากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และจำกัดกระแสไฟฟ้า
4. ตัวควบคุมการชาร์จ (การชาร์จแบบ CC: Constant Current – CV: Constant Voltage) เครื่องชาร์จอัจฉริยะส่วนใหญ่มี 2 โหมด
- โหมดกระแสคงที่ (CC) – ชาร์จเร็วจนถึงความจุประมาณ 80%
- โหมดแรงดันคงที่ (CV) – ชะลอการชาร์จเพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันไฟเกิน
ความเสี่ยงจาก Overcharge ต่อสารเคมีในแบตเตอรี่
- กรณีแบตเตอรี่เป็นแบบ Li-ion/LiPo หากชาร์จมากเกินไปอาจนำไปสู่ การเกิดความร้อนสูงเกินปกติ หรือไฟไหม้
- แบตเตอรี่ประเภท กรดตะกั่ว อาจนำไปสู่การสูญเสียอิเล็กโทรไลต์และการเกิดก๊าซ
- แบตเตอรี่ประเภท NiMH หากชาร์จมากเกินไปจะส่งผลต่อแรงดันไฟต่ำ หรือ ดร็อปลงและความร้อนสูงเกินปกติ
- แบตเตอรี่ประเภท NiCd หากชาร์จมากเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานลดลง
แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันการชาร์จไฟเกิน
- ใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิต หลีกเลี่ยงเครื่องชาร์จราคาถูก ที่ไม่ได้รับการรับรอง
- หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟข้ามคืน โดยการถอดปลั๊กอุปกรณ์ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว
- ตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำว่า บวม หรือ ร้อนเกินไปหรือไม่
- เก็บเมื่อชาร์จเต็มบางส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไออนจะเสื่อมสภาพช้าลง เมื่อชาร์จประมาณ 40-60%
สรุป
การป้องกันการชาร์จไฟเกิน (Overcharge) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ของแบตเตอรี่ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี BMS การชาร์จอัจฉริยะ และการจัดการความร้อน ทำให้ความเสี่ยงที่เกิดจากการชาร์จไฟเกินลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถยืดอายุแบตเตอรี่ และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบอื่นๆได้ อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟเกิน- ในแบตเตอรี่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ใช้จึงควรหมั่นตรวจเช็คระบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบตเตอรี่เอง หรือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือ ทรัพย์สินต่อไป