ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

บทความนี้จะกล่าวถึงบทบาทสำคัญของกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินเพื่อป้องกันความเสียหาย

ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

แบตเตอรี่จัดเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ โดยพลังงานจะถูกจ่ายไปยังอุปกรณ์ทั้งหลาย มีตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการชาร์จไฟเกิน หรือที่เรียกว่า “Overcharge” ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลอันตราย ต่อแบตเตอรี่ ด้วยแรงดันไฟฟ้าเกินขีดจำกัดความปลอดภัย การชาร์จไฟเกินจะทำให้เกิดความร้อน สูงเกินปกติ การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ การบวม และอาจถึงขั้นระเบิดได้ เพื่อลดความเสี่ยง เหล่านี้ ในระบบแบตเตอรี่ได้รวมกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินขั้นสูงหลายระบบไว้ด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้อุปกรณ์ และระบบอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถดำรงการใช้งานได้ราบรื่นต่อไป

Overcharge คืออะไร

Overcharge เกิดขึ้น เมื่อแบตเตอรี่ยังคงได้รับกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องอยู่ แม้แรงดันไฟ ชาร์จเต็มแล้ว ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของความเสียหายอีกหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

  1. ความร้อนที่มากเกินไปจนผิดปกติ
  2. การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ (การก่อตัวของก๊าซในลิเธียมไอออน)
  3. การสูญเสียความจุไฟฟ้าอย่างถาวร
  4. ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือ ระเบิด

สาเหตุของ Overcharge

การ Overcharge เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยอาทิ

  • เครื่องชาร์จที่ชำรุด คือ เครื่องชาร์จที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หรือ ชำรุดจนไม่สามารถ หยุดจ่ายกระแสไฟได้
  • ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS: Battery Management System) ล้มเหลว คือ การที่ระบบ BMS ทำงานผิดปกติจนไม่สามารถตัดการชาร์จแรงดันไฟฟ้าตามที่กำหนดไว้ได้อย่าง ถูกต้อง
  • ไฟกระชาก คือ แรงดันไฟฟ้าที่ดันจนแรงดันไฟฟ้าพุ่งสูงเกินขีดจำกัดความปลอดภัย
  • เซลล์ของแบตเตอรี่ไม่สมดุล คือ เซลล์ที่อ่อนแอ หรือ แรงดันไฟดร็อปลงในแบตเตอรี่ที่มี หลายเซลล์มาประกอบกัน ซึ่งเกิดจากการถูกชาร์จมากเกินไป ขณะที่เซลล์ตัวอื่นยังชาร์จ ไม่เพียงพอ

การป้องกัน Overcharge

แบตเตอรี่สมัยใหม่ใช้ระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อป้องกันการชาร์จไฟเกินมี 4 วิธีดังนี้

1. การใช้ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)

BMS ทำหน้าที่เป็นสมองสั่งการรักษาความปลอดภัยในแบตเตอรี่ มีหน้าที่ดังนี้

  • ตรวจสอบแรงดันไฟ โดยตัดการชาร์จเมื่อถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเช่น 4.2V สำหรับลิเธียมไอออน เป็นต้น
  • ควบคุมกระแสไฟ เพื่อป้องกันการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้มากเกินไป
  • ปรับสมดุลเซลล์แบตเตอรี่ ด้วยการรับประกันการชาร์จไฟที่สม่ำเสมอในทุกเซลล์

2. การใช้กลไกการตัดแรงดันไฟฟ้า

  • ใช้วงจร IC ในการป้องกันเป็นหลัก โดยตัดการชาร์จเมื่อแรงดันไฟฟ้าเกินเกณฑ์
  • การป้องกันรอง (วงจร IC สำรอง) ทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันความล้มเหลว หาก IC หลักล้มเหลว

3. การป้องกันความร้อน

  • เซ็นเซอร์อุณหภูมิ ทำหน้าที่ตรวจจับ เมื่อความร้อนสูงเกินไปจะดำเนินการปิดระบบ
  • ฟิวส์แบบ PTC ที่รีเซ็ตได้ เพิ่มความต้านทานให้มากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และจำกัดกระแสไฟฟ้า

4. ตัวควบคุมการชาร์จ (การชาร์จแบบ CC: Constant Current – CV: Constant Voltage) เครื่องชาร์จอัจฉริยะส่วนใหญ่มี 2 โหมด

  • โหมดกระแสคงที่ (CC) – ชาร์จเร็วจนถึงความจุประมาณ 80%
  • โหมดแรงดันคงที่ (CV) – ชะลอการชาร์จเพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันไฟเกิน

ความเสี่ยงจาก Overcharge ต่อสารเคมีในแบตเตอรี่

  • กรณีแบตเตอรี่เป็นแบบ Li-ion/LiPo หากชาร์จมากเกินไปอาจนำไปสู่ การเกิดความร้อนสูงเกินปกติ หรือไฟไหม้
  • แบตเตอรี่ประเภท กรดตะกั่ว อาจนำไปสู่การสูญเสียอิเล็กโทรไลต์และการเกิดก๊าซ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiMH หากชาร์จมากเกินไปจะส่งผลต่อแรงดันไฟต่ำ หรือ ดร็อปลงและความร้อนสูงเกินปกติ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiCd หากชาร์จมากเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานลดลง

แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันการชาร์จไฟเกิน

  1. ใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิต หลีกเลี่ยงเครื่องชาร์จราคาถูก ที่ไม่ได้รับการรับรอง
  2. หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟข้ามคืน โดยการถอดปลั๊กอุปกรณ์ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว
  3. ตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำว่า บวม หรือ ร้อนเกินไปหรือไม่
  4. เก็บเมื่อชาร์จเต็มบางส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไออนจะเสื่อมสภาพช้าลง เมื่อชาร์จประมาณ 40-60%

สรุป

การป้องกันการชาร์จไฟเกิน (Overcharge) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ของแบตเตอรี่ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี BMS การชาร์จอัจฉริยะ และการจัดการความร้อน ทำให้ความเสี่ยงที่เกิดจากการชาร์จไฟเกินลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถยืดอายุแบตเตอรี่ และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบอื่นๆได้ อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟเกิน- ในแบตเตอรี่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ใช้จึงควรหมั่นตรวจเช็คระบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบตเตอรี่เอง หรือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือ ทรัพย์สินต่อไป

ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

บทความนี้จะกล่าวถึงบทบาทสำคัญของกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินเพื่อป้องกันความเสียหาย

นักเขียนบทความ
by 
นักเขียนบทความ
ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

บทความนี้จะกล่าวถึงบทบาทสำคัญของกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินเพื่อป้องกันความเสียหาย

แบตเตอรี่จัดเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ โดยพลังงานจะถูกจ่ายไปยังอุปกรณ์ทั้งหลาย มีตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการชาร์จไฟเกิน หรือที่เรียกว่า “Overcharge” ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลอันตราย ต่อแบตเตอรี่ ด้วยแรงดันไฟฟ้าเกินขีดจำกัดความปลอดภัย การชาร์จไฟเกินจะทำให้เกิดความร้อน สูงเกินปกติ การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ การบวม และอาจถึงขั้นระเบิดได้ เพื่อลดความเสี่ยง เหล่านี้ ในระบบแบตเตอรี่ได้รวมกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินขั้นสูงหลายระบบไว้ด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้อุปกรณ์ และระบบอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถดำรงการใช้งานได้ราบรื่นต่อไป

Overcharge คืออะไร

Overcharge เกิดขึ้น เมื่อแบตเตอรี่ยังคงได้รับกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องอยู่ แม้แรงดันไฟ ชาร์จเต็มแล้ว ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของความเสียหายอีกหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

  1. ความร้อนที่มากเกินไปจนผิดปกติ
  2. การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ (การก่อตัวของก๊าซในลิเธียมไอออน)
  3. การสูญเสียความจุไฟฟ้าอย่างถาวร
  4. ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือ ระเบิด

สาเหตุของ Overcharge

การ Overcharge เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยอาทิ

  • เครื่องชาร์จที่ชำรุด คือ เครื่องชาร์จที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หรือ ชำรุดจนไม่สามารถ หยุดจ่ายกระแสไฟได้
  • ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS: Battery Management System) ล้มเหลว คือ การที่ระบบ BMS ทำงานผิดปกติจนไม่สามารถตัดการชาร์จแรงดันไฟฟ้าตามที่กำหนดไว้ได้อย่าง ถูกต้อง
  • ไฟกระชาก คือ แรงดันไฟฟ้าที่ดันจนแรงดันไฟฟ้าพุ่งสูงเกินขีดจำกัดความปลอดภัย
  • เซลล์ของแบตเตอรี่ไม่สมดุล คือ เซลล์ที่อ่อนแอ หรือ แรงดันไฟดร็อปลงในแบตเตอรี่ที่มี หลายเซลล์มาประกอบกัน ซึ่งเกิดจากการถูกชาร์จมากเกินไป ขณะที่เซลล์ตัวอื่นยังชาร์จ ไม่เพียงพอ

การป้องกัน Overcharge

แบตเตอรี่สมัยใหม่ใช้ระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อป้องกันการชาร์จไฟเกินมี 4 วิธีดังนี้

1. การใช้ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)

BMS ทำหน้าที่เป็นสมองสั่งการรักษาความปลอดภัยในแบตเตอรี่ มีหน้าที่ดังนี้

  • ตรวจสอบแรงดันไฟ โดยตัดการชาร์จเมื่อถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเช่น 4.2V สำหรับลิเธียมไอออน เป็นต้น
  • ควบคุมกระแสไฟ เพื่อป้องกันการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้มากเกินไป
  • ปรับสมดุลเซลล์แบตเตอรี่ ด้วยการรับประกันการชาร์จไฟที่สม่ำเสมอในทุกเซลล์

2. การใช้กลไกการตัดแรงดันไฟฟ้า

  • ใช้วงจร IC ในการป้องกันเป็นหลัก โดยตัดการชาร์จเมื่อแรงดันไฟฟ้าเกินเกณฑ์
  • การป้องกันรอง (วงจร IC สำรอง) ทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันความล้มเหลว หาก IC หลักล้มเหลว

3. การป้องกันความร้อน

  • เซ็นเซอร์อุณหภูมิ ทำหน้าที่ตรวจจับ เมื่อความร้อนสูงเกินไปจะดำเนินการปิดระบบ
  • ฟิวส์แบบ PTC ที่รีเซ็ตได้ เพิ่มความต้านทานให้มากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และจำกัดกระแสไฟฟ้า

4. ตัวควบคุมการชาร์จ (การชาร์จแบบ CC: Constant Current – CV: Constant Voltage) เครื่องชาร์จอัจฉริยะส่วนใหญ่มี 2 โหมด

  • โหมดกระแสคงที่ (CC) – ชาร์จเร็วจนถึงความจุประมาณ 80%
  • โหมดแรงดันคงที่ (CV) – ชะลอการชาร์จเพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันไฟเกิน

ความเสี่ยงจาก Overcharge ต่อสารเคมีในแบตเตอรี่

  • กรณีแบตเตอรี่เป็นแบบ Li-ion/LiPo หากชาร์จมากเกินไปอาจนำไปสู่ การเกิดความร้อนสูงเกินปกติ หรือไฟไหม้
  • แบตเตอรี่ประเภท กรดตะกั่ว อาจนำไปสู่การสูญเสียอิเล็กโทรไลต์และการเกิดก๊าซ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiMH หากชาร์จมากเกินไปจะส่งผลต่อแรงดันไฟต่ำ หรือ ดร็อปลงและความร้อนสูงเกินปกติ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiCd หากชาร์จมากเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานลดลง

แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันการชาร์จไฟเกิน

  1. ใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิต หลีกเลี่ยงเครื่องชาร์จราคาถูก ที่ไม่ได้รับการรับรอง
  2. หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟข้ามคืน โดยการถอดปลั๊กอุปกรณ์ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว
  3. ตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำว่า บวม หรือ ร้อนเกินไปหรือไม่
  4. เก็บเมื่อชาร์จเต็มบางส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไออนจะเสื่อมสภาพช้าลง เมื่อชาร์จประมาณ 40-60%

สรุป

การป้องกันการชาร์จไฟเกิน (Overcharge) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ของแบตเตอรี่ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี BMS การชาร์จอัจฉริยะ และการจัดการความร้อน ทำให้ความเสี่ยงที่เกิดจากการชาร์จไฟเกินลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถยืดอายุแบตเตอรี่ และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบอื่นๆได้ อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟเกิน- ในแบตเตอรี่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ใช้จึงควรหมั่นตรวจเช็คระบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบตเตอรี่เอง หรือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือ ทรัพย์สินต่อไป

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Suspendisse varius enim in eros elementum tristique. Duis cursus, mi quis viverra ornare, eros dolor interdum nulla, ut commodo diam libero vitae erat. Aenean faucibus nibh et justo cursus id rutrum lorem imperdiet. Nunc ut sem vitae risus tristique posuere.

ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

ป้องกันการชาร์จไฟเกินในแบตเตอรี่: การป้องกันไฟเกิน

บทความนี้จะกล่าวถึงบทบาทสำคัญของกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินเพื่อป้องกันความเสียหาย

Lorem ipsum dolor amet consectetur adipiscing elit tortor massa arcu non.

แบตเตอรี่จัดเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ โดยพลังงานจะถูกจ่ายไปยังอุปกรณ์ทั้งหลาย มีตั้งแต่อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟน ไปจนถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการชาร์จไฟเกิน หรือที่เรียกว่า “Overcharge” ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลอันตราย ต่อแบตเตอรี่ ด้วยแรงดันไฟฟ้าเกินขีดจำกัดความปลอดภัย การชาร์จไฟเกินจะทำให้เกิดความร้อน สูงเกินปกติ การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ การบวม และอาจถึงขั้นระเบิดได้ เพื่อลดความเสี่ยง เหล่านี้ ในระบบแบตเตอรี่ได้รวมกลไกป้องกันการชาร์จไฟเกินขั้นสูงหลายระบบไว้ด้วยกัน โดยตั้งเป้าให้อุปกรณ์ และระบบอื่นที่เกี่ยวข้องสามารถดำรงการใช้งานได้ราบรื่นต่อไป

Overcharge คืออะไร

Overcharge เกิดขึ้น เมื่อแบตเตอรี่ยังคงได้รับกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องอยู่ แม้แรงดันไฟ ชาร์จเต็มแล้ว ซึ่งนำไปสู่สาเหตุของความเสียหายอีกหลายสาเหตุ ดังต่อไปนี้

  1. ความร้อนที่มากเกินไปจนผิดปกติ
  2. การสลายตัวของอิเล็กโทรไลต์ (การก่อตัวของก๊าซในลิเธียมไอออน)
  3. การสูญเสียความจุไฟฟ้าอย่างถาวร
  4. ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ หรือ ระเบิด

สาเหตุของ Overcharge

การ Overcharge เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยอาทิ

  • เครื่องชาร์จที่ชำรุด คือ เครื่องชาร์จที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หรือ ชำรุดจนไม่สามารถ หยุดจ่ายกระแสไฟได้
  • ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS: Battery Management System) ล้มเหลว คือ การที่ระบบ BMS ทำงานผิดปกติจนไม่สามารถตัดการชาร์จแรงดันไฟฟ้าตามที่กำหนดไว้ได้อย่าง ถูกต้อง
  • ไฟกระชาก คือ แรงดันไฟฟ้าที่ดันจนแรงดันไฟฟ้าพุ่งสูงเกินขีดจำกัดความปลอดภัย
  • เซลล์ของแบตเตอรี่ไม่สมดุล คือ เซลล์ที่อ่อนแอ หรือ แรงดันไฟดร็อปลงในแบตเตอรี่ที่มี หลายเซลล์มาประกอบกัน ซึ่งเกิดจากการถูกชาร์จมากเกินไป ขณะที่เซลล์ตัวอื่นยังชาร์จ ไม่เพียงพอ

การป้องกัน Overcharge

แบตเตอรี่สมัยใหม่ใช้ระบบป้องกันหลายชั้นเพื่อป้องกันการชาร์จไฟเกินมี 4 วิธีดังนี้

1. การใช้ระบบจัดการแบตเตอรี่ (BMS)

BMS ทำหน้าที่เป็นสมองสั่งการรักษาความปลอดภัยในแบตเตอรี่ มีหน้าที่ดังนี้

  • ตรวจสอบแรงดันไฟ โดยตัดการชาร์จเมื่อถึงขีดจำกัดที่ตั้งไว้ล่วงหน้าเช่น 4.2V สำหรับลิเธียมไอออน เป็นต้น
  • ควบคุมกระแสไฟ เพื่อป้องกันการไหลของกระแสไฟฟ้าไม่ให้มากเกินไป
  • ปรับสมดุลเซลล์แบตเตอรี่ ด้วยการรับประกันการชาร์จไฟที่สม่ำเสมอในทุกเซลล์

2. การใช้กลไกการตัดแรงดันไฟฟ้า

  • ใช้วงจร IC ในการป้องกันเป็นหลัก โดยตัดการชาร์จเมื่อแรงดันไฟฟ้าเกินเกณฑ์
  • การป้องกันรอง (วงจร IC สำรอง) ทำหน้าที่เป็นระบบป้องกันความล้มเหลว หาก IC หลักล้มเหลว

3. การป้องกันความร้อน

  • เซ็นเซอร์อุณหภูมิ ทำหน้าที่ตรวจจับ เมื่อความร้อนสูงเกินไปจะดำเนินการปิดระบบ
  • ฟิวส์แบบ PTC ที่รีเซ็ตได้ เพิ่มความต้านทานให้มากขึ้น เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และจำกัดกระแสไฟฟ้า

4. ตัวควบคุมการชาร์จ (การชาร์จแบบ CC: Constant Current – CV: Constant Voltage) เครื่องชาร์จอัจฉริยะส่วนใหญ่มี 2 โหมด

  • โหมดกระแสคงที่ (CC) – ชาร์จเร็วจนถึงความจุประมาณ 80%
  • โหมดแรงดันคงที่ (CV) – ชะลอการชาร์จเพื่อหลีกเลี่ยงแรงดันไฟเกิน

ความเสี่ยงจาก Overcharge ต่อสารเคมีในแบตเตอรี่

  • กรณีแบตเตอรี่เป็นแบบ Li-ion/LiPo หากชาร์จมากเกินไปอาจนำไปสู่ การเกิดความร้อนสูงเกินปกติ หรือไฟไหม้
  • แบตเตอรี่ประเภท กรดตะกั่ว อาจนำไปสู่การสูญเสียอิเล็กโทรไลต์และการเกิดก๊าซ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiMH หากชาร์จมากเกินไปจะส่งผลต่อแรงดันไฟต่ำ หรือ ดร็อปลงและความร้อนสูงเกินปกติ
  • แบตเตอรี่ประเภท NiCd หากชาร์จมากเกินไปจะทำให้อายุการใช้งานลดลง

แนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการป้องกันการชาร์จไฟเกิน

  1. ใช้เครื่องชาร์จที่ได้รับการรับรองจากผู้ผลิต หลีกเลี่ยงเครื่องชาร์จราคาถูก ที่ไม่ได้รับการรับรอง
  2. หลีกเลี่ยงการชาร์จไฟข้ามคืน โดยการถอดปลั๊กอุปกรณ์ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว
  3. ตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำว่า บวม หรือ ร้อนเกินไปหรือไม่
  4. เก็บเมื่อชาร์จเต็มบางส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไออนจะเสื่อมสภาพช้าลง เมื่อชาร์จประมาณ 40-60%

สรุป

การป้องกันการชาร์จไฟเกิน (Overcharge) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ของแบตเตอรี่ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี BMS การชาร์จอัจฉริยะ และการจัดการความร้อน ทำให้ความเสี่ยงที่เกิดจากการชาร์จไฟเกินลดลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังสามารถยืดอายุแบตเตอรี่ และป้องกันความผิดพลาดที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบอื่นๆได้ อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟเกิน- ในแบตเตอรี่นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ผู้ใช้จึงควรหมั่นตรวจเช็คระบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบตเตอรี่เอง หรือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือ ทรัพย์สินต่อไป